แกรนด์แคนยอน
แกรนด์แคนยอนถือเป็นความมหัศจรรย์
ทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลกถูกจัดให้เป็นหนึ่งในอนุรักษ์สถาน
ของโลกโดยตามสภาพภูมิศาสตร์และการลงมติของสหประชาชาติ สำรวจพบสถานที่แห่งนี้
เมื่อปี ค.ศ.1776
ปีเดียวกับที่อเมริกาประกาศเอกราชจากอังกฤษ
แต่เพิ่งมารู้ว่ามีแม่น้ำโคโรลาโดไหลผ่านในปี ค.ศ1857
แม่น้ำโคโลราโด ไหลจากทิศเหนือไปใต้สู่ทะเลสาบมี๊ด ระยะทางประมาณ 200 ไมล์ Grand Canyon ถูกจัด
ให้เป็นวนอุทยานแห่งชาติของสหรัฐ
แกรนอ์แคนยอนเกิดขึ้นโดยอิทธิพลของแม่น้ำโคโลราโด
ไหลผ่านที่ราบสูงทำให้เกิดการสึกกร่อน พังทะลายของหินเป็นเวลา 225 ล้านปีมาแล้ว
เดิมทีแม่น้ำโคโลราโดมีสภาพเป็นลำธารเล็กๆที่ไหลคดเคี้ยวไป
ตามที่ราบกว้างใหญ่ที่อยู่ ระดับเดียวกับน้ำทะเล ต่อมาพื้นโลกเริ่มยกตัวสูงขึ้น
อันเนื่องมาจากแรงดันและ ความร้อนอันมหาศาลภายใต้พื้น
โลกที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนรูป และกลายเป็นแนวเทือกเขากว้างใหญ่ การยกตัว
ของแผ่นดินทำให้ทางที่ลำธาร ไหลผ่านลาดชันขึ้นและทำให้น้ำไหลแรงมากขึ้น
พัดเอาทรายและตะกอนไปตาม น้ำเกิดการ
กัดเซาะลึกลงไปทีละน้อยในเปลือกโลก
วัดจากขอบลงไปก้นหุบเหวกว่า 1 ไมล์
( ประมาณ 1,600 เมตร ) และอาจลึกว่าสองเท่า ของความหนาของเปลือกโลก ก่อให้เกิดหินแกรนิต
หินชั้นแบบต่าง ๆ พื้นดินที่เป็น หินทรายถูกน้ำ และลมกัดเซาะ
จนเป็นร่องลึกสลับซับซ้อนนานนับล้านปี เป็นแคนยอนงดงามน่าพิศวงเนื่อง
จากผลของดินฟ้าอากาศ ความร้อนเย็นซึ่งมีอิทธิพลรอบด้าน
ทางตะวันตกของแม่น้ำโคโลราโด
มีลักษณะคดเคี้ยวไปมาน่าสับสนและเป็นที่ตั้งส่วนหนึ่ง ของแกรนด์แคนยอนด้วย
โดยยาวถึง 150-200 ไมล์
บริเวณนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ มากที่สุดจุดหนึ่ง
ซึ่งก็คงเป็นเพราะทัศนีย
ภาพที่แปลกตาของความลึกของหุบเขาและลักษณะของ
แม่น้ำที่มีรูปร่างทรงกรวยและไหลเป็นหลั่น ๆ
ชั้นลงไปโดยเกิดจากลาวาที่ทับถมจากภูเขาไฟเมื่อหลาย ล้านปีก่อนนั่นเอง
บริเวณหน้าผาของแกรนด์ แคนยอน
แม่น้ำโคโลราโดได้เดินทางมาบรรจบ กับแม่น้ำ"เวอร์จิน"
ซึ่งเป็นที่ตั้งของทะเลสาบ "มี๊ด" ด้วยจุดนี้
ไม่เพียงแต่เป็นจุดสิ้นสุดของแกรนด์ แคนยอนเท่านั้น
แต่ยังเป็นจุดสำคัญทางธรณีวิทยาแห่งหนึ่ง
อย่างดีทั้งนี้เพราะสภาพบรรยากาศที่แปลกแตกต่างจากที่อื่นอย่างมาก
เมื่อเปรียบเทียบ กับที่ราบสูงโคโลราโดทางตะวันออก 2 จุดนี้เป็นจุดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นในด้านของโครงสร้าง
ภูมิศาสตร์ หรือประวัติศาสตร์
ในทางใต้ของแม่น้ำสายนี้
จะเป็นทางลาดลงไปกว่า 3,000 ฟุต
โดยเกิดจากดินทรายที่พัดพ ามาจากที่สูงแถบนี้เป็นที่ตั้งของที่ราบสูง
"ตอนใต้" และห่างออกไป 70
ไมล์ก็เป็นที่ตั้งของช่องแคบ "อินเนอร์ กอร์จ"ที่เป็นรูปตัว
"วี" แคบ ๆ และกว้าง 300
ฟุตนอกจากนี้สีสรรของสายน้ำก็ยังเปลี่ยนแปลงไปด้วย บางวันก็เป็นสีน้ำตาล
บางวันก็เป็นสีเขียว ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนของตะกอนที่พัดพามาแต่ละวัน
นอกจากนั้น
ในบริเวณซอกหลืบของหุบเขาน้อยใหญ่ยังมีการค้นพบร่องรอยอารยธรรม ของชาวอินเดียน
แดงโบราณ ซึ่งยังมีลูกหลานดำรงชีวิตแบบดั้งเดิม และบางส่วนก็ยังคงอยู่ที่
แกรนด์แคนยอน จนถึงทุกวันนี้ เช่น อินเดียนแดงเผ่า Hopis,
Havasupais, Navajos, Hualapais, Paiutes, Pueblos เป็นต้น
ทุก ๆ
ปีจะมีคนไปชมความมหัศจรรย์ของแกรนด์แคนยอนไม่ต่ำกว่าสองล้านคน